วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

บิตตรวจสอบ (Parity Bit)


บิตตรวจสอบ (Parity Bit)


แพริตีบิต หรือ บิตภาวะคู่หรือคี่ (อังกฤษ: parity bit) หรืออาจเรียกเพียงแค่ แพริตี หมายถึงบิตที่เพิ่ม

เข้าไปในข้อมูล โดยไม่จำเป็นว่าจะต้องนำไปต่อท้ายหรือขึ้นต้น เพื่อทำให้แน่ใจว่าบิตที่เป็นค่า 1 ใน

ข้อมูลมีจำนวนเป็นเลขคู่หรือเลขคี่ การใช้แพริตีบิตเป็นวิธีที่ง่ายอย่างหนึ่งในการตรวจจับและแก้ไข

ความผิดพลาด

แพริตีบิตมีสองชนิดคือ แพริตีบิตคู่ (even parity bit) กับ แพริตีบิตคี่ (odd parity bit) ตามข้อมูลในเลข

ฐานสอง

  • แพริตีบิตคู่ จะมีค่าเป็น 1 เมื่อจำนวนของเลข 1 ในข้อมูลเป็นจำนวนคี่ (ซึ่งจะทำให้จำนวนเลข 1
ทั้งหมดเป็นจำนวนคู่ เมื่อรวมกับบิตนี้)
  • แพริตีบิตคี่ จะมีค่าเป็น 1 เมื่อจำนวนของเลข 1 ในข้อมูลเป็นจำนวนคู่ (ซึ่งจะทำให้จำนวนเลข 1
ทั้งหมดเป็นจำนวนคี่ เมื่อรวมกับบิตนี้)

          โดยแท้จริงแล้ว แพริตีบิตคู่เป็นกรณีพิเศษหนึ่งของการตรวจสอบด้วยส่วนซ้ำซ้อนแบบวน

 (cyclic redundancy check: CRC) เนื่องจากซีอาร์ซีขนาดหนึ่งบิตถูกสร้างขึ้นจากพหุนาม x + 1

ถ้าแพริตีบิตมีตำแหน่งแต่ไม่มีการใช้ มีสองแนวทางคือกำหนดให้เป็น 0 ตลอดเรียกว่า แพริตีว่าง (space

parity) หรือกำหนดให้เป็น 1 ตลอดเรียกว่า แพริตีกำหนด (mark parity)
_________________________________________________________________________________



Moore's law

moore's law คืออะไร

         กฎของมัวร์ หรือ Moore’s Law       คือ   กฏที่อธิบายแนวโน้มของการพัฒนาฮาร์ดแวร์ของคอมพิวเตอร์ในระยะยาว มีความว่ จํานวนทรานซิสเตอร์ที่สามารถบรรจุลงในชิพจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ในทุกๆสองปี 
 Gordon E. Moore ผู้ก่อตั้ง Intel  ซึ้งได้อธิบายแนวโน้มไว้ในรายงานของเขาในปี 1965 จึงพบว่ากฎนี้แม่นยํา อาจเกิดขึ้นเนื่องจาก อุตสาหกรรม    semiconductor  นํากฎนี้ไปเป็นเป้าหมายในการวางแผน พัฒนาอุตสาหกรรมได้     moore's law เป็น ปริมาณของทรานซิสเตอร์บนวงจรรวมจำนวนของทรานซิสเตอร์ ต่อตารางนิ้วบน แผงวงจรรวม มีสองเท่าทุกปีตั้งแต่วงจรรวมถูกคิดค้น Moore predicted that this trend would continue for the foreseeable future. มัวร์ที่คาดการณ์ว่าแนวโน้มจะดำเนินต่อไปในอนาคตอันใกล้ ในปีถัดไป, การก้าวชะลอตัวลงเล็กน้อย แต่ความหนาแน่นของข้อมูลได้เท่าประมาณทุก 18 เดือน

        กอร์ดอน มัวร์ เป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทอินเทล ได้ใช้หลักการสังเกตตั้งกฎของมัวร์ (Moore’s law) ขึ้น ซึ่งเขาบันทึกไว้ว่า ปริมาณของทรานซิสเตอร์บนวงจรรวม
       

 กฎของมัวร์ (Moore's Law)

         ในปี พ.ศ. 2490 วิลเลียมชอคเลย์และกลุ่มเพื่อนนักวิจัยที

สถาบัน เบลแล็ป ได้คิดค้นสิ่งที่สำคัญและเป็นประโยชน์ต่อชาวโลก

มาก เป็นการเริ่มต้นก้าวเข้าสู่ยุคอิเล็กทรอนิคส์ที่เรียกว่า โซลิดสเตท

เขาได้ตั้งชื่อสิ่งที ประดิษฐ์ขึ้นมาว่า "ทรานซิสเตอร์" แนวคิดในขณะ

นั้นต้องการควบคุมการไหลของกระแสไฟฟ้า ซึ่งสามารถทำได้ดีด้วย

หลอดสูญญากาศแต่หลอดมี ขนาดใหญ่เทอะทะใช้กำลังงานไฟฟ้า

มากทรานซิสเตอร์จึงเป็นอุปกรณ์ที่นำมาแทนหลอดสูญญากาศได้

เป็นอย่างดีทำให้เกิดอุตสาหกรรมสาร กึ่งตัวนำตามมา และก้าวหน้า

ขึ้นเป็นลำดับ 

พ.ศ. 2508 อุตสาหกรรมผลิตอุปกรณ์สารกึ่งตัวได้แพร่หลาย มี

บริษัทผู้ผลิตทรานซิสเตอร์จำนวนมากการประยุกต์ใช้งานวงจร

อิเล็กทรอนิกส์  กว้างขวางขึ้น มีการนำมาใช้ในเครื่องจักร 

อุปกรณ์ต่าง ๆ ตั้งแต่ของใช้ในบ้าน จึงถึงในโรงงานอุตสาหกรรม

การสร้างทรานซิสเตอร์มีพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง บริษัท แฟร์

ซายด์ เซมิคอนดัคเตอร์เป็นบริษัทแรกที่เริ่มใช้เทคโนโลยีการ

ผลิต ทรานซิสเตอร์แบบ    planar หรือเจือสารเข้าทางแนวราบ 

เทคโนโลยีแบบของการสร้างไอซีในเวลาต่อมา จากหลักฐาน 

พบว่า บริษัทแฟร์ซายด์ได้ผลิตพลาน่าทรานซิสเตอร์ตั้งแต่

ประมาณปี พ.ศ. 2502 และบริษัทเท็กซัสอินสตรูเมนต์ได้ผลิตไอ

ซีได้ในเวลาต่อมา และกอร์ดอนมัวร์กล่าวไว้ว่า จุดเริ่มต้นของกฎ

ของมัวร์เริ่มต้นจากการเริ่มมีพลาน่าทรานซิสเตอร์

 
        คําว่า “กฎของมัวร์” นั้นถูกเรียกโดยศาสตราจารย์   Caltech   นามว่า      Carver Mead
ซึ่งกล่าวว่าจํานวนทรานซิสเตอร์จะเพิ่มขึ้เป็นสองเท่าในทุกๆหนึ่งปี ในช่วงปี 1965  ต่อมามัวร์จึงได้
เปลี่ยนรูปกฎ เพิ่ขึ้นสองเท่าในทุกๆสองปี ในปี 1975
 

วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

รหัส ASCII และ UNICODE




รหัส ASCII


          ASCII อ่านว่า แอส-กี้ เป็นรหัสที่พัฒนาขึ้นโดยสถาบัน

มาตรฐานแห่งชาติสหรัฐอเมริกา 

(American National Standard Institute: ANSI อ่านว่า แอน-ซาย) 

เรียกว่าASCII Code ซึ่งเป็นที่

นิยมในกลุ่มผู้สร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ทั่วไป รหัสนี้ได้มาจากรหัสขอ

งองค์กรมาตรฐานระหว่างประเทศ

 (International Standardization Organization: ISO) ขนาด 

บิท ซึ่งสามารถสร้างรหัสที่แตกต่าง

กันได้ถึง 128 รหัส (ตั้งแต่ 000 0000 ถึง 111 1111) โดยกำหนด

ให้ 32 รหัสแรกเป็น 000 0000 ถึง

 001 1111 ทำหน้าที่เป็นสั่งควบคุม เช่น รหัส 000 1010 แทนการ

เลื่อนบรรทัด (Line Feed)ใน

เครื่องพิมพ์ เป็นต้น และอีก 96 รหัสถัดไป (32-95) ใช้แทนอักษร

และสัญลักษณ์พิเศษอื่นรหัส ASCII 

ใช้วิธีการกำหนดการแทนรหัสเป็นเลขฐานสิบ ทำให้ง่ายต่อการจำ

และใช้งาน นอกจากนั้นยังสามารถ

เขียนมนรูปของเลขฐานสิบหกได้ด้วย ดังนั้น ASCII Code จึงเป็น

รหัสที่เขียนได้ แบบ

          ASCII เป็นรูปแบบปกติของไฟล์ข้อความ (text file) ใน


คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต ในไฟล์ ASCII 

อักษรแต่ละตัว ตัวเลข หรืออักษรพิเศษ จะได้รับการแสดงด้วย

ตัวเลขฐานสอง ซึ่งสามารถใช้ระบุตัว

อักษรได้ 128 ตัว

          ระบบ ปฏิบัติการ UNIX และ DOS (ยกเว้น Windows NT
)

 ใช้ ASCII สำหรับไฟล์ข้อความ

 ระบบ Windows NT ใช้รหัสแบบใหม่ คือ Unicode ในระบบ IBM

 390 ใช้รหัส 8 หลัก เรียกว่า 

extended binary-decimal interchange code โปรแกรมแปลง

ยินยอมให้ระบบปฏิบัติที่แตกต่างกัน

แปลงไฟล์จากรหัสหนึ่งเป็น อีกรหัสหนึ่ง





______________________________________________________


 รหัส Unicode 


          ยูนิโค๊ด คือ รหัสคอมพิวเตอร์ใช้แทนตัวอักขระ สามารถใช้


แทน ตัวอักษร,ตัวเลข,สัญลักษณ์ต่างๆ 

ได้มากกว่ารหัสแบบเก่าอย่าง  ASCII ซึ่งเก็บตัวอักษรได้สูงสุดเพียง 

256 ตัว(รูปแบบ) โดย Unicdoe

 รุ่นปัจจุบันสามารถเก็บตัวอักษรได้ถึง 34,168 ตัวจากภาษาทั้งหมด

ทั่วโลก 24 ภาษา โดยไม่สนใจว่า

เป็นแพลตฟอร์มใด ไม่ขึ้นกับโปรแกรมใด หรือภาษาใด unicode ได้

ถูกนำไปใช้โดยผู้นำในอุตสาหกรรม

 เช่น Apple, HP, IBM, Microsoft, Unix ฯลฯ และเป็นแนวทางอย่างเป็นทางการในการทำ ISO /IEC

 10646 ดังนั้น Unicode จึงถือเป็นมาตรฐานในการกำหนดรหัส 

สำหรับทุกตัวอักษร ทุกอักขระ  

unicode ทำให้ข้อมูลสามารถเคลื่อนย้ายไปมาในหลายๆ ระบบ ข้าม

แพลตฟอร์มไปมา หรือข้าม

โปรแกรมได้อย่างสะดวก โดยไร้ข้อจำกัด


Unicode ต่างจาก ASCII 

          คือ ASCII เก็บ byte เดียว แต่ Unicode เก็บ 2 byte ซึ่ง


ข้อมูล 2 byte เก็บข้อมูลได้มากมายมหาศาล 

สามารถเก็บข้อมูลได้มากมายหลายภาษาในโลก 

อย่างภาษาไทยก็อยู่ใน Unicode นี้ด้วยเหมือนกัน ดังนั้นรหัสภาษา


ไทยเอาไปเปิดในภาษาจีน ก็ยัง

เป็นภาษาไทยอยู่ ไม่ออกมาเป็นภาษาจีน เพราะว่ามี code ตายตัว

อยู่ว่า code นี้จองไว้สำหรับภาษา

ไทย แล้ว code ตรงช่วงนั้นเป็นภาษาจีน ตรงโน่นเป็นภาษาญี่ปุ่น จะ

ไม่ใช้ที่ซ้ำกัน เป็นต้น



Unicode คืออะไร ยูนิโค๊ด คือ รหัสคอมพิวเตอร์ ซึ่งใช้แทนตัวอักษร ตัวเลข และ สัญลักษณ์ต่างๆ




______________________________________________________

PANISA    DASSADAJUN


แทนด้วยรหัส ASCII  ดังนี้

P      0101 0000 
A     0100 0001
N     0100 1110
I       0100 1001
S      0101 0011
A     0100 0001 

D     0100 0100 
A     0100 0001
S      0101 0011
S      0101 0011
A     0100 0001
D     0100 0100
A     0100 0001
J      0100 1010
U     0101 0101 
N     0100 1110   

ใช้พื้นที่จัดเก็บจำนวน 136 บิต เท่ากับ 17 ไบต์


ขอบคุณค่ะ

     

______________________________________________________